บทที่ 3 ตอนที่ 3

ชายหนุ่มเดินเข้าไปหยุดอยู่ใกล้ๆ กับเตียงนอนของผู้มีพระคุณ จ้องมองความชราภาพของท่านผ่านสายตาคมกริบสีทองอร่ามของตัวเอง ความอ่อนโยนผุดพรายขึ้นมาทดแทนความเลือดเย็นจนหมดสิ้น เขาพาตัวเองไปทรุดนั่งบนเก้าอี้ที่ขอบเตียง กุมมือของท่านเอาไว้

“ผมจะไม่ยื้อเอาไว้อีกแล้วครับ ผมจะรีบทำทุกอย่างที่คุณตาต้องการ”

ความหวาดกลัวที่ไม่เคยได้เฉียดเข้าใกล้หัวใจกระด้างของเขามาก่อนเริ่มสำแดงฤทธิ์เดช มันเป็นความรู้สึกที่อึดอัดและทำให้ทุกข์ทรมานมากมายนัก แม้จะรู้ดีว่าสักวันเขาจะต้องอยู่บนโลกนี้ตามลำพังโดยไร้เงาของท่าน แต่มันจะต้องไม่ใช่เร็วๆ นี้ ไม่ใช่ในอีกปีหรือสองปีข้างหน้า เขาจะทำทุกอย่างเพื่อยื้อท่านเอาไว้จากยมบาลในยมโลกให้ได้นานที่สุด ไม่ว่าสิ่งที่ต้องทำนั้นมันจะตรงกันข้ามกับความต้องการของตัวเองมากแค่ไหนก็ตาม!

สลัมหรือแห่งเสื่อมโทรมคือสถานที่ที่พุดซ้อน โชติวรรธนาอยู่มาตั้งแต่จำความได้ โดยข้างกายนั้นมีน้าบานเย็นซึ่งเป็นน้องสาวของแม่บานเช้าที่เสียชีวิตไปแล้วอยู่เคียงข้าง แม้ว่าทุกวินาทีที่ผ่านพ้นไปหล่อนจะต้องทำงานจนสายตัวแทบขาดเพื่อให้ได้เงินมาจุนเจือครอบครัว แต่หล่อนก็ยังให้ความเคารพน้าบานเย็นอยู่เสมอ อาจจะเป็นเพราะน้าบานเย็นไม่ได้สวมบทบาทดั่งเช่นน้าใจยักษ์ในละคร หรืออาจจะเป็นเพราะว่าน้าบานเย็นคือญาติเพียงคนเดียวที่หล่อนมีอยู่ในโลกใบนี้ แต่จะเพราะอะไรก็ช่างหล่อนไม่ควรจะคิดให้รกสมอง ในเมื่อสิ่งที่ควรทำที่สุดในตอนนี้ก็คือการทำงานตรงหน้าให้แล้วเสร็จ

“เติมน้ำมันเท่าไรดีคะ”

หญิงสาวชะโงกหน้าถามเมื่อกระจกรถในห้องผู้โดยสารลดต่ำลงจนเกือบหมดบาน ภาพชายชราผมสีดอกเลาปรากฏอยู่ตรงหน้า รอยยิ้มจากริมฝีปากที่เหี่ยวย่นไปตามกาลเวลานั้นช่างอ่อนโยนและคุ้นตานัก หล่อนเคยเห็นผู้ชายคนนี้ที่ไหนกันนะ พุดซ้อนพยายามนึกแต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก

“เต็มถังแม่หนู”

เนาว์ โชติวรรธนามองร่างระหงในชุดหมีรุ่มร่ามของหลานสาวคนตัวโตด้วยความสะท้อนใจ น้ำตาแห่งความสำนึกผิดเอ่อล้นอยู่ภายในอก หากเขาไม่ทิฐิ หากเขาไม่บังคับฝืนใจลูกชาย ป่านนี้พุดซ้อนก็คงไม่ต้องมาทำงานหนักรับใช้คนอื่นแบบนี้

“เรียบร้อยแล้วค่ะ หนึ่งพันสามร้อยบาท”

พุดซ้อนยิ้มกว้างให้กับชายชราตรงหน้าอีกครั้ง พร้อมกับบอกราคาค่าน้ำมันออกมาด้วยน้ำเสียงสดใส ท่านเนาว์น้ำตาซึมเมื่อจ้องมองเด็กสาวตรงหน้าอีกครั้ง

“แม่หนูไม่เรียนหนังสือหรอกหรือ มาทำงานหนักๆ แบบนี้ทำไมกัน” ชายชราหยิบเงินสดในกระเป๋าส่งให้กับพุดซ้อนปึกใหญ่

“หนูเกิดมาจนนี่คะ ก็ต้องทำงานหาเงินกินข้าว ส่วนเรื่องเรียนเอาไว้พอมีตังค์แล้วค่อยกลับไปเรียนก็ได้ค่ะ แต่ว่า...” พุดซ้อนมองธนบัตรสีเทาในมือของชายชราด้วยความประหลาดใจ

“แค่หนึ่งพันสามร้อยบาทเองนะคะ”

“ที่เหลือฉันให้ทิปหนูไง รับไปเถอะ”

ท่านเนาว์ยิ้มกว้าง เขาอยากให้พุดซ้อนรับเงินจำนวนนี้เอาไว้ใช้ในระหว่างที่เขายังไม่ได้ไปรับหล่อนเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์โชติวรรธนา

“รับไว้เถอะแม่หนู ฉันเต็มใจให้”

จากสายตาที่เป็นมิตรแปรเปลี่ยนเป็นขุ่นเคืองในทันที เมื่อสมองคิดเลยเถิดไปว่าผู้ชายตรงหน้ากำลังจะขอซื้อบริการจากตัวเอง

“หนูไม่รู้หรอกนะคะว่าท่านมองคนจนต่ำต้อยแค่ไหน แต่ขอให้คิดซะใหม่นะคะว่าหนูไม่เคยคิดจะขายตัวกิน หนูยอมเหนื่อยกาย ยอมให้เหงื่อไหลออกมาจากผิวหนังดีกว่ายอมให้คนตราหน้าว่าเป็นอีตัว ขอโทษนะคะที่หนูพูดแรงแบบนี้ แต่มันคือสิ่งที่หนูคิดจริงๆ ค่ะ” พุดซ้อนมองชายชราด้วยสายตาผิดหวังอยู่อึดใจ ก่อนเลือกที่จะเดินหนีไปอีกทาง

“หวานไปเก็บตังค์รถยาวๆ คันนั้นแทนหน่อยสิ” หญิงสาวเดินมาบอกเพื่อนร่วมงานด้วยเสียงที่ยังกระด้างไม่เหือดหาย

เจ้าของชื่อมองไปยังรถคันยาวเฟื้อย แล้วก็หันมามองเพื่อนด้วยสายตาข้องใจสุดๆ

“อ้าว...ทำไมล่ะ เมื่อกี้ฉันยังเห็นแกยิ้มเริงร่าให้กับเขาอยู่เลย”

“เออน่า อย่าเซ้าซี้มากนักเลย” พุดซ้อนพูดด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ

“อะไรของมันวะ?”

ผักหวานยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ ด้วยความข้องใจ ก่อนจะรีบเดินตรงไปยังรถลีมูซีนคันงามที่ยังจอดรออยู่ทันที

“ขอโทษนะคะที่ให้รอนาน ยอดหนึ่งพันสามร้อยบาทค่ะ”

ท่านเนาว์มองหน้าพนักงานเติมน้ำมันอีกคนที่มาทำหน้าที่แทนหลานสาวของตัวเอง ก่อนจะส่งธนบัตรสีเทาให้สองใบ

“ไม่ต้องทอนหรอก”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป